‘BTG’ บุกสิงคโปร์เต็มกำลัง ซื้อธุรกิจไข่ไก่เบอร์ 1 ของประเทศ
“BTG” บุกสิงคโปร์เต็มกำลัง ซื้อธุรกิจไข่ไก่เบอร์ 1 ของประเทศ พร้อมมุมมองนักวิเคราะห์
เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจทีเดียวของหุ้น BTG หรือ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย หลังล่าสุดบริษัทแจ้งแผนเข้าซื้อกิจการใหม่ในธุรกิจไข่ไก่ในประเทศสิงคโปร์
ทั้งนี้ BTG มีแผนจะเข้าซื้อหุ้นของ Eggriculture Foods Limited (Eggriculture) ผ่านบริษัทในเครือที่จัดตั้งขึ้นใหม่คือ Betagro Foods (Singapore) Pte. Ltd. (Betagro Foods) ด้วยมูลค่าธุรกรรมประมาณ 1,993 ล้านบาท และถอนหุ้น Eggriculture ออกจาก Hong Kong Stock Exchange
โดยจะเป็นการเข้าซื้อหุ้น Eggriculture จำนวน 75% ราคาหุ้นที่เข้าไปซื้อดังกล่าวคิดเป็น trailing PER ของกำไรจากธุรกิจหลักปี FY2567 ของ Eggriculure ที่ 10 เท่า สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินกู้ ในขณะเดียวกันบริษัทจะจ่ายค่าหุ้นอีก 25% โดย Betagro Foods จะออกหุ้นใหม่มาให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ Eggriculture (Radiant Grand International Limited) คาดว่าธุรกิจทั้งหมดจะดำเนินการเสร็จเรียบร้อยในไตรมาส 1 ปี 2568
Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์
Eggriculture เป็นผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ โดยงบงวดปี 2567 (ก.ค. 2566 – มิ.ย. 2567) บริษัทมีปริมาณการผลิตไข่สุดเฉลี่ย 350,000 ฟองต่อวัน มีปริมาณการนำเข้า 500,000 – 600,000 ฟองต่อวัน และทำกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 9.878 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
มุมมองนักวิเคราะห์
บทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย คาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับ BTG ได้ประมาณ 2-3% และ 4-5% ตามลำดับ ต่อประมาณการของบทวิเคราะห์ปี 2568 และ IBD/E จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.0 เท่า จาก 0.9 เท่า
ปัจจุบัน BTG มีผลิตภัณฑ์หลายรายการที่ขายในสิงคโปร์ แต่ยังคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก หากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้สำเร็จ เชื่อว่าศักยภาพในการผนึกกำลังอาจมาจากการใช้ประโยชน์จากช่องทางการขานของ Eggriculture ซึ่งถือว่าครอบคลุมตลาดค้าปลีกส่วนใหญ่ในสิงคโปร์
ดังนั้น จึงแนะนำ “ซื้อ” BTG ราคาเป้าหมาย 26.3 บาทต่อหุ้น จากมูลค่าการผนึกกำลังน่าจะมาจากการขายข้ามตลาดไปยังตลาดสิงคโปร์
บทวิเคราะห์ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่ารายการลงทุนดังกล่าวเป็นบวกสำหรับ BTG ในแง่มูลค่าการเข้าซื้อกิจการที่ไม่สูงมากนัก และจะช่วยสร้างกำไรปกติจากการดำเนินงานส่วนเพิ่มให้กับ BTG ประมาณ 6% จากกำไรในปี 2568 โดยที่ยังไม่ได้รวม synergy และยังไม่ได้นำมารวมไว้ในประมาณการ ซึ่งบริษัทให้เหตุผลในการลงทุน คือ
1. เพื่อกระจายและขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 1% ของยอดขายรวม และยอดขายเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
2. ตลาดไข่ของสิงคโปร์น่าสนใจจากการเป็นตลาดผู้บริโภคระดับพรีเมียม โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารเป็นอันดับแรก และตั้งเป้าผลิตไข่ในประเทศอย่างน้อย 30% ของการบริโภคทั้งหมด
3. Eggriculture มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง จากการเป็นผู้ประกอบธุรกิจไข่ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ ส่วนแบ่งการตลาด 20% ในปี 2567 พร้อมทั้งมีห่วงโซ่อุปทานในประเทศและเครือข่ายการจัดจำหน่ายแบบครบวงจรทั้งในกลุ่มโมเดิร์นเทรด (30%) และ HoReCa (70%)
4. แนวโน้มที่จะเกิด Business Synergy จากการขายสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงในประเทศสิงคโปร์ได้มากขึ้น ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีอยู่และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตผ่านการแบ่งปันความรู้ในธุรกิจไข่
จึงคงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับ BTG โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2568 ที่ 28 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก 2567 ทาง BTG มีรายได้รวม 54,530.6 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 503.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกับดีมานด์ของตลาด รวมทั้งการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาขายที่ทำอัตรากำไรที่สูงขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ราคาหมูและไก่ในประเทศไทยที่ฟื้นตัวขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง